ผลต่างระหว่างรุ่นของ "204512/บรรยาย 2"
LewCPE (คุย | มีส่วนร่วม) |
Jittat (คุย | มีส่วนร่วม) |
||
(ไม่แสดง 29 รุ่นระหว่างกลางโดยผู้ใช้ 2 คน) | |||
แถว 1: | แถว 1: | ||
+ | {{หัวคำบรรยาย|204512}} | ||
+ | '''จดบันทึกคำบรรยายโดย:''' ''(กรุณาใส่ด้วย)'' | ||
== เกริ่นนำ == | == เกริ่นนำ == | ||
− | |||
หลักการของ Divide and Conquer Algorithm ประกอบไปด้วย 3 ส่วนดังนี้ | หลักการของ Divide and Conquer Algorithm ประกอบไปด้วย 3 ส่วนดังนี้ | ||
:1.แตกย่อยปัญหาเป็นชิ้นเล็ก หลายชิ้น | :1.แตกย่อยปัญหาเป็นชิ้นเล็ก หลายชิ้น | ||
แถว 47: | แถว 48: | ||
[[ภาพ:Tree.png|ภาพตัวอย่างการแตกปัญหาออกเป็นส่วนๆ ตามการคำนวณตามวิธีปรกติ]] | [[ภาพ:Tree.png|ภาพตัวอย่างการแตกปัญหาออกเป็นส่วนๆ ตามการคำนวณตามวิธีปรกติ]] | ||
− | จากภาพ Tree มีความสูง <math>\log | + | |
+ | จากภาพ Tree มีความสูง <math>\log{n} \, </math> ทำให้ได้ว่า | ||
+ | |||
+ | <math>T(n) = cn [1 + 2 + 4 + ... + 2^{n}] = cn \cdot 2^{\log{n}} [ \frac{1}{2^{\log{n}}} + ... + \frac{1}{4} + \frac{1}{2} + 1] = \mathcal{O}(n^2) </math> | ||
+ | |||
+ | Gauss ได้เสนอวิธีการคูณในอีกรูปแบบหนึ่งที่ใช้การคูณเพียงสามครั้งจาก <math>x_L y_R + x_R y_L = (x_L + x_R)(y_L + y_R) - x_L y_L - x_R y_R \,</math> ทำให้อัลกอลิธึ่มได้รับการปรับปรุงเป็น <math>T(n) = 3 T(\frac{n}{2}) + \mathcal{O}(n)</math> ซึ่งเมื่อคำนวณในรูปแบบเดียวกับ Tree ด้านบนโดยถือว่าแต่ละ node จะมีลูกอยู่ 3 ชุดแทนที่จะเป็น 4 ชุด เราจะได้ว่า | ||
+ | |||
+ | <math>T(n) = cn (\frac{3}{2})^{\log{n}} = n^{log_2{3}} = n^{1.59}</math> | ||
=== Merge Sort === | === Merge Sort === | ||
+ | |||
+ | Merge Sort เป็นอัลกอลิธึ่มแบบ Devide-and-Conquer อีกอันหนึ่งที่ อาศัยการแบ่งข้อมูลออกเป็นส่วนเล็กๆ แล้วเรียงลำดับให้ถูกต้อง แล้วจึงนำข้อมูลที่เรียงแล้วกลับมาต่อกัน | ||
+ | |||
+ | กระบวนการทำ Merge Sort มีสามขั้นคือ | ||
+ | |||
+ | * การแบ่งส่วนข้อมูล ได้ทำได้ทันที | ||
+ | * การเรียงข้อมูล ที่แบ่งไปครึ่งๆ แล้ว ใช้เวลา <math>T(\frac{n}{2}) \,</math> | ||
+ | * การนำข้อมูลที่เรียงแล้วสองชุดมาต่อกันใช้เวลา <math>\mathcal{O}(n)</math> | ||
+ | |||
+ | โดยรวมแล้ว Merge Sort ใช้เวลาในการทำงาน <math>T(n) = T(\frac{n}{2}) + \mathcal{O}(n)</math> | ||
+ | |||
+ | หรือก็คือ <math>\mathcal{O}(n\log{n})</math> | ||
=== Fast Furier Transform === | === Fast Furier Transform === | ||
+ | [[ภาพ:Plot.png|thumb|กราฟแสดงการหาสมการผลลัพธ์จากการคูณค่าในแต่ละจุดของสมการตั้งต้น ภาพจาก[http://www.walterzorn.com/grapher/grapher_e.htm Walterzorn.com]]] | ||
+ | FFT คืออัลกอลิธึ่มที่ใช้ในการหาผลคูณของสมการ Polynomial สองชุดเข้าด้วยกัน เพื่อใช้งานในด้าน Signal บางอย่าง โดยมีแนวคิดคือการหาสมการที่เป็นผลคุณของ Polynomial นั้นไม่จำเป็นที่จะต้องเกิดจากการนำสมการมาคุณกันจริงๆ แต่อาจสร้างได้จากคุณสมบัติของ Polynomial ดังนี้ | ||
+ | * สมการ Polynomial ที่มี degree เป็น d ใดๆ สามารถสร้างขึ้นจากการหาค่าผลของสมการที่ตำแหน่งต่างๆ จำนวน d+1 ตำแหน่ง | ||
+ | * เมือนำสมการ Polynomial degree d สองสมการมาคูณกัน เราจะได้สมการ Polynomial degree เป็น 2d | ||
+ | * ดังนั้นหากเราหาค่าของสมการตั้งต้นสองสมการจำนวน 2d+1 จุด แล้วนำมาคูณกัน สุดท้ายแล้วเราจะได้ค่า 2d+1 จุดที่สามารถนำไป Interpolate กลับมาเป็นสมการผลคูณของ Polynomial สองสมการได้ | ||
+ | |||
+ | ==== Devide and Conconquer ==== | ||
+ | เริ่มจากพิจารณาสมการ Polynomial degree-n ใดๆ เช่น <math>f(x) = 8 + 5x + 4x^2 + 2x^3 \,</math> เราสามารถหาค่าของจุดต่างๆ จำนวน n จุดได้ โดยหาค่าทั้งในฝั่งบวกและลบไปพร้อมๆ กัน เช่นพิจารณาจุด <math>\pm x_1, \pm x_2, \pm x_3 , ... , \pm x_n</math> เราจะสามารถแยกพิจารณากรณีคู่และคี่ไปพร้อมๆ กันได้โดยการแยกตัวประกอบเพื่อให้ทุกพจน์มี degree เป็นคู่เสมอ ดังเช่นตัวอย่าง | ||
+ | |||
+ | <math>f(x) = 8 + 5x + 4x^2 + 2x^3 = (8 + 4x^2) + x(5 + 2x^2) \,</math> | ||
+ | |||
+ | การแยกเช่นนี้เป็นจริงเสมอสำหรับ Polnomial ใดๆ เราจึงแยกเป็น <math>f(x) = f_e(x^2) + x f_o(x^2) \,</math> เมื่อ <math>f_e(x)\,</math> เป็นพจน์คู่ของ <math>f(x) \,</math> และ <math>f_o(x)\,</math> เป็นพจน์คี่ของ <math>f(x) \,</math> โดยที่เมื่อคำนวณค่าออกมาเพียงครั้งเดียว เราสามารถหาค่าทั้งฝั่งบวกและลบได้ดังสมการ | ||
+ | |||
+ | <math> f(x_n) = f_e(x_n^2) + x f_o(x_n^2)</math> | ||
+ | |||
+ | |||
+ | <math>f(-x_n) = f_e(x_n^2) + x f_o(x_n^2)</math> | ||
+ | |||
+ | จากข้างบนทำให้เราสามารถย่อยป้ญหาให้เล็กลงครึ่งหนึ่งได้ แต่ในระบบจำนวนจริงเราไม่สามารถแบ่งปัญหาให้เล็กลงไปกว่าครึ่งได้อีกเพราะการยกกำลังสองในครั้งแรกก็ทำให้เลขทุกตัวกลายเป็นจำนวนบวกไปหมด แต่เราสามารถใช้จำนวนเชิงซ้อนในรูปแบบ [http://en.wikipedia.org/wiki/Primitive_root_of_unity Root of Unity] เพื่อให้สามารถแบ่งปัญหาลงไปเรื่อยๆ ได้โดยการใช้ Root of Unity มีคุณสมบัติที่น่าสนใจสองประการคือ | ||
+ | |||
+ | * มีคู่ตรงข้ามเสมอ ทำให้สามารถยกกำลังสองเพื่อหาค่าทั้งสองค่าในครั้งเดียวได้ | ||
+ | * การยกกำลังสองในแต่ละครั้งจะทำให้ได้ Root of Unity ในอับดับที่ <math>\frac{n}{2}</math> เสมอ | ||
+ | |||
+ | การคำนวณค่าของการคูณสมการ Polynomial ใดๆ จึงสามารถทำได้ โดยพิจารณาว่าสมการผลลัพธ์จะมี degree เป็นเท่าใด แล้วเลือกใช้งาน Root of Unity ในลำดับที่สูงกว่านั้นทำให้สามารถคำนวณหาค่าของทุกจุดได้ในเวลาเพียง <math>n\log{n}\,</math> | ||
+ | |||
+ | ==== Interpolation ==== | ||
+ | หลังจากที่เราพิจารณาจุดได้มากพอที่จะ Interpolate สมการของผลลัพธ์กลับออกมาได้แล้ว สิ่งที่เราต้องทำต่อไปคือการสร้างสมการที่เป็นผลคูณของสองสมการที่ผ่านมา โดยขณะที่การพิจารณาค่าที่ตำแหน่งต่างๆ ของ <math>f(x) \,</math> นั้นได้ความเร็วเป็น <math>\mathcal{O}(n \log{n})</math> แล้วก็ตาม แต่ความเร็วในการ Interpolate สมการกลับขึ้นมาก็ต้องนำมาพิจารณาด้วย | ||
+ | |||
+ | แต่คุณสมบัติของฟังก์ขั่น FFT ที่เราใช้ในการพิจารณาค่าในส่วนที่แล้ว มีคุณสมบัติที่น่าแปลกคือ | ||
+ | |||
+ | จาก <math>\langle values \rangle = FFT(\langle cofficients \rangle, \omega)</math> เราจะได้ว่า <math>\langle cofficients \rangle = \frac{1}{n}FFT(\langle values \rangle, \omega^{-1})</math> ซึ่งเนื่องจากสมการในการ Interpolate นั้นเป็นสมการเดียวกับที่ใช้ในการพิจารณาค่าทำให้เราได้ว่าอัลกอลิธึ่มนี้มีความเร็ว <math>\mathcal{O}(n \log{n})</math> เสมอ | ||
+ | |||
+ | ==== Proof of Interpolation ==== | ||
+ | การที่เราสามารถพิจารณาค่าจำนวน n จุดของสมการ Polynomial ได้นั้น เราสามารถมองว่าเป็นการคูณกันระหว่าง Matrix ของ Coeffient และ Matrix ของตัวแปร ดังสมการต่อไปนี้ | ||
+ | <center> | ||
+ | <math>\begin{bmatrix} | ||
+ | f(x_0)\\ | ||
+ | f(x_1)\\ | ||
+ | \vdots \\ | ||
+ | f(x_{n-1}) | ||
+ | \end{bmatrix} | ||
+ | = | ||
+ | \begin{bmatrix} | ||
+ | 1 & 1 & 1 & \cdots & 1 \\ | ||
+ | 1 & \omega & \omega^2 & \cdots & \omega^{n-1} \\ | ||
+ | \vdots & \vdots & \vdots & \ddots& \vdots \\ | ||
+ | 1 & \omega^{n-1} & \omega^{2(n-1)} & \cdots & \omega^{(n-1)(n-1)} | ||
+ | \end{bmatrix} | ||
+ | \begin{bmatrix} | ||
+ | a_0\\ | ||
+ | a_1\\ | ||
+ | \vdots \\ | ||
+ | a_{n-1} | ||
+ | \end{bmatrix} | ||
+ | </math></center> | ||
+ | |||
+ | เราให้ Matrix ของ <math>\omega</math> ตรงกลางนั้นชื่อว่า M โดยมันมีรูปแบบที่เรียกว่า Vandermonde Matrix ที่ระบุว่า Matrix ในรูปแบบนี้จะมี Inverse เสมอ | ||
+ | |||
+ | การพิสูจน์สมการการ Interpolate นั้นทำโดยการมอง Matrix M เป็น Matrix ที่ Map เวคเตอร์จาก Space หนึ่งๆ ไปอีก Space หนึ่ง ซึ่งหากทุกแกนของ Space ใหม่นั้นตั้งฉากกันทั้งหมด เราจะสามารถบอกได้ว่าการ Inverse จะทำให้ได้ค่าเดิม คือ Coefficient กลับมาเสมอ และสามารถใช้สูตร | ||
+ | |||
+ | <center><math>M_n(\omega)^{-1} = \frac{1}{n} M_n(\omega^{-1})</math></center> | ||
+ | |||
+ | ซึ่ง <math>\omega^{-1}\,</math> ก็ยังคงเป็น Root of Unity อยู่ ทำให้เราสามารถใช้อัลกอลิธึ่มเดิมทำงานได้ต่อไป | ||
+ | |||
+ | ขั้นตอนต่อไปคือการพิสูจน์ว่าแมทริกซ์ M นั้นทุก Column (ซึ่งเป็นเวคเตอร์) ตั้งฉากกันทั้งหมด โดยสามารถทำได้จากการทำ inner product ตามสมการ | ||
+ | |||
+ | <center><math>u \cdot v^* = u_0 v_0^* + u_1 v_1^* + \cdots + u_{n-1} v_{n-1}^*</math> โดยที่ <math>v^* \,</math> คือ Conjugate ของ <math>v \,</math></center> | ||
+ | |||
+ | โดยที่การทำ inner product จะให้ผลลัพธ์สูงสุดเมื่อเวคเตอร์ขนานกัน และให้ผลลัพธ์เป็นศูนย์เมื่อเวคเตอร์ตั้งฉากกัน | ||
+ | |||
+ | ในกรณีของ M ที่กล่าวถึงข้างต้น เมื่อเราเลือกคอลัมน์ i และ j ใดๆ มาหามุมระหว่างกันแล้วจะได้ inner product ว่า | ||
+ | |||
+ | <center><math>1+\omega^{i-j}+\omega^{2(i-j)}+\cdots+\omega^{(n-1)(i-j)}</math></center> | ||
+ | |||
+ | ซึ่งเป็นอนุกรมเลขาคณิตที่มีอัตราส่วนเป็น <math>\omega^{(i-j)}</math> ทำให้เราได้ผลลัพธ์ของอนุกรมเป็น <math>\frac{1 - \omega^{n(i-j)}}{1-\omega^{i-j}}</math> แต่เนื่องจาก <math>\omega</math> เป็น Root of Unity ทำให้<math>\omega^n = 1</math> เสมอ อนุกรมนี้จึงได้ 0 ทั้งหมดนี้เราจึงได้พิสูจน์ว่าเราสามารถใช้อัลกอลิธึ่ม FFT ในการทำ Interpolate สมการกลับมาได้ และทำให้อัลกอลิธึ่มรวมใช้เวลาการทำงานอยู่ใน <math>\mathcal{O}(n\log{n})</math> | ||
---- | ---- | ||
แถว 58: | แถว 153: | ||
[http://en.wikipedia.org/wiki/Big_O_notation อธิบายเรื่อง Big-O-Notation ของ Wiki Pedia ] | [http://en.wikipedia.org/wiki/Big_O_notation อธิบายเรื่อง Big-O-Notation ของ Wiki Pedia ] | ||
+ | |||
[[Big_O_notation | อธิบายเรื่อง Big-O-Notation ของ Wiki Pedia ]] | [[Big_O_notation | อธิบายเรื่อง Big-O-Notation ของ Wiki Pedia ]] | ||
− | + | [http://en.wikipedia.org/wiki/Inner_product Inner Product ใช้ในการพิสูจน์เรื่อง Manipulation] |
รุ่นแก้ไขปัจจุบันเมื่อ 05:09, 9 สิงหาคม 2550
บันทึกคำบรรยายวิชา 204512 นี้ เป็นบันทึกที่นิสิตเขียนขึ้น เนื้อหาโดยมากยังไม่ผ่านการตรวจสอบอย่างละเอียด การนำไปใช้ควรระมัดระวัง
จดบันทึกคำบรรยายโดย: (กรุณาใส่ด้วย)
เนื้อหา
เกริ่นนำ
หลักการของ Divide and Conquer Algorithm ประกอบไปด้วย 3 ส่วนดังนี้
- 1.แตกย่อยปัญหาเป็นชิ้นเล็ก หลายชิ้น
- 2.ทำการแก้ปัญหาย่อยเหล่านี้ด้วยวิธีการที่คล้ายกัน
- 3.คำตอบสุดท้ายหาได้จากการสรุปคำตอบทั้งหมดของทุกปัญหาย่อย
ดังจะเห็นได้จากปัญหาทั้งในชีวิตประจำวัน และปัญหาทางทฤษฎีคอมพิวเตอร์ สามารถเปรียบเทียบกรรมวิธี Divide and Conquer Algorithm กับ Lagacy Algorithm ได้ว่ามีประสิทธิ์ภาพต่างกันมากน้อยเพียงใด ซึ่งวิธีที่เปรียบเทียบเป็นที่นิยมโดยทั่วไปคือการหา Big O Notation มาเปรียบเทียบกัน
การวิเคราะห์เปรียบเทียบ Algorithm โดยการหา Big O Notation
Definition 1
T of n is in Big-Oh of f of n iff there're constants and such that
for all
- เช่น
จะเห็นได้ว่า definition 1 เป็นจริงได้เมื่อ
โดยทั่วไปแล้ว Big-Oh คือการแสดง Upper Bound ของฟังก์ขั่น ขณะที่ Big-Omega () เป็นการแสดงถึง Lower Bound ของฟังก์ชั่น
ตัวอย่างปัญหา ที่ใช้กรรมวิธีแก้ไขแบบ Divide & Conquer
Multiplication
การคูณกันของ ที่เป็น binary number ขนาด n-bit สามารถแยกออกได้เป็น
- สามารถสังเกตได้ว่า ประกอบไปด้วยพจน์ที่คูณกัน 4 ชุด
นิยาม Function ของเวลาที่ใช้ในการคำนวณตัวเลข n-bit เป็น
จากภาพ Tree มีความสูง ทำให้ได้ว่า
Gauss ได้เสนอวิธีการคูณในอีกรูปแบบหนึ่งที่ใช้การคูณเพียงสามครั้งจาก ทำให้อัลกอลิธึ่มได้รับการปรับปรุงเป็น ซึ่งเมื่อคำนวณในรูปแบบเดียวกับ Tree ด้านบนโดยถือว่าแต่ละ node จะมีลูกอยู่ 3 ชุดแทนที่จะเป็น 4 ชุด เราจะได้ว่า
Merge Sort
Merge Sort เป็นอัลกอลิธึ่มแบบ Devide-and-Conquer อีกอันหนึ่งที่ อาศัยการแบ่งข้อมูลออกเป็นส่วนเล็กๆ แล้วเรียงลำดับให้ถูกต้อง แล้วจึงนำข้อมูลที่เรียงแล้วกลับมาต่อกัน
กระบวนการทำ Merge Sort มีสามขั้นคือ
- การแบ่งส่วนข้อมูล ได้ทำได้ทันที
- การเรียงข้อมูล ที่แบ่งไปครึ่งๆ แล้ว ใช้เวลา
- การนำข้อมูลที่เรียงแล้วสองชุดมาต่อกันใช้เวลา
โดยรวมแล้ว Merge Sort ใช้เวลาในการทำงาน
หรือก็คือ
Fast Furier Transform
FFT คืออัลกอลิธึ่มที่ใช้ในการหาผลคูณของสมการ Polynomial สองชุดเข้าด้วยกัน เพื่อใช้งานในด้าน Signal บางอย่าง โดยมีแนวคิดคือการหาสมการที่เป็นผลคุณของ Polynomial นั้นไม่จำเป็นที่จะต้องเกิดจากการนำสมการมาคุณกันจริงๆ แต่อาจสร้างได้จากคุณสมบัติของ Polynomial ดังนี้
- สมการ Polynomial ที่มี degree เป็น d ใดๆ สามารถสร้างขึ้นจากการหาค่าผลของสมการที่ตำแหน่งต่างๆ จำนวน d+1 ตำแหน่ง
- เมือนำสมการ Polynomial degree d สองสมการมาคูณกัน เราจะได้สมการ Polynomial degree เป็น 2d
- ดังนั้นหากเราหาค่าของสมการตั้งต้นสองสมการจำนวน 2d+1 จุด แล้วนำมาคูณกัน สุดท้ายแล้วเราจะได้ค่า 2d+1 จุดที่สามารถนำไป Interpolate กลับมาเป็นสมการผลคูณของ Polynomial สองสมการได้
Devide and Conconquer
เริ่มจากพิจารณาสมการ Polynomial degree-n ใดๆ เช่น เราสามารถหาค่าของจุดต่างๆ จำนวน n จุดได้ โดยหาค่าทั้งในฝั่งบวกและลบไปพร้อมๆ กัน เช่นพิจารณาจุด เราจะสามารถแยกพิจารณากรณีคู่และคี่ไปพร้อมๆ กันได้โดยการแยกตัวประกอบเพื่อให้ทุกพจน์มี degree เป็นคู่เสมอ ดังเช่นตัวอย่าง
การแยกเช่นนี้เป็นจริงเสมอสำหรับ Polnomial ใดๆ เราจึงแยกเป็น เมื่อ เป็นพจน์คู่ของ และ เป็นพจน์คี่ของ โดยที่เมื่อคำนวณค่าออกมาเพียงครั้งเดียว เราสามารถหาค่าทั้งฝั่งบวกและลบได้ดังสมการ
จากข้างบนทำให้เราสามารถย่อยป้ญหาให้เล็กลงครึ่งหนึ่งได้ แต่ในระบบจำนวนจริงเราไม่สามารถแบ่งปัญหาให้เล็กลงไปกว่าครึ่งได้อีกเพราะการยกกำลังสองในครั้งแรกก็ทำให้เลขทุกตัวกลายเป็นจำนวนบวกไปหมด แต่เราสามารถใช้จำนวนเชิงซ้อนในรูปแบบ Root of Unity เพื่อให้สามารถแบ่งปัญหาลงไปเรื่อยๆ ได้โดยการใช้ Root of Unity มีคุณสมบัติที่น่าสนใจสองประการคือ
- มีคู่ตรงข้ามเสมอ ทำให้สามารถยกกำลังสองเพื่อหาค่าทั้งสองค่าในครั้งเดียวได้
- การยกกำลังสองในแต่ละครั้งจะทำให้ได้ Root of Unity ในอับดับที่ เสมอ
การคำนวณค่าของการคูณสมการ Polynomial ใดๆ จึงสามารถทำได้ โดยพิจารณาว่าสมการผลลัพธ์จะมี degree เป็นเท่าใด แล้วเลือกใช้งาน Root of Unity ในลำดับที่สูงกว่านั้นทำให้สามารถคำนวณหาค่าของทุกจุดได้ในเวลาเพียง
Interpolation
หลังจากที่เราพิจารณาจุดได้มากพอที่จะ Interpolate สมการของผลลัพธ์กลับออกมาได้แล้ว สิ่งที่เราต้องทำต่อไปคือการสร้างสมการที่เป็นผลคูณของสองสมการที่ผ่านมา โดยขณะที่การพิจารณาค่าที่ตำแหน่งต่างๆ ของ นั้นได้ความเร็วเป็น แล้วก็ตาม แต่ความเร็วในการ Interpolate สมการกลับขึ้นมาก็ต้องนำมาพิจารณาด้วย
แต่คุณสมบัติของฟังก์ขั่น FFT ที่เราใช้ในการพิจารณาค่าในส่วนที่แล้ว มีคุณสมบัติที่น่าแปลกคือ
จาก เราจะได้ว่า ซึ่งเนื่องจากสมการในการ Interpolate นั้นเป็นสมการเดียวกับที่ใช้ในการพิจารณาค่าทำให้เราได้ว่าอัลกอลิธึ่มนี้มีความเร็ว เสมอ
Proof of Interpolation
การที่เราสามารถพิจารณาค่าจำนวน n จุดของสมการ Polynomial ได้นั้น เราสามารถมองว่าเป็นการคูณกันระหว่าง Matrix ของ Coeffient และ Matrix ของตัวแปร ดังสมการต่อไปนี้
เราให้ Matrix ของ ตรงกลางนั้นชื่อว่า M โดยมันมีรูปแบบที่เรียกว่า Vandermonde Matrix ที่ระบุว่า Matrix ในรูปแบบนี้จะมี Inverse เสมอ
การพิสูจน์สมการการ Interpolate นั้นทำโดยการมอง Matrix M เป็น Matrix ที่ Map เวคเตอร์จาก Space หนึ่งๆ ไปอีก Space หนึ่ง ซึ่งหากทุกแกนของ Space ใหม่นั้นตั้งฉากกันทั้งหมด เราจะสามารถบอกได้ว่าการ Inverse จะทำให้ได้ค่าเดิม คือ Coefficient กลับมาเสมอ และสามารถใช้สูตร
ซึ่ง ก็ยังคงเป็น Root of Unity อยู่ ทำให้เราสามารถใช้อัลกอลิธึ่มเดิมทำงานได้ต่อไป
ขั้นตอนต่อไปคือการพิสูจน์ว่าแมทริกซ์ M นั้นทุก Column (ซึ่งเป็นเวคเตอร์) ตั้งฉากกันทั้งหมด โดยสามารถทำได้จากการทำ inner product ตามสมการ
โดยที่การทำ inner product จะให้ผลลัพธ์สูงสุดเมื่อเวคเตอร์ขนานกัน และให้ผลลัพธ์เป็นศูนย์เมื่อเวคเตอร์ตั้งฉากกัน
ในกรณีของ M ที่กล่าวถึงข้างต้น เมื่อเราเลือกคอลัมน์ i และ j ใดๆ มาหามุมระหว่างกันแล้วจะได้ inner product ว่า
ซึ่งเป็นอนุกรมเลขาคณิตที่มีอัตราส่วนเป็น ทำให้เราได้ผลลัพธ์ของอนุกรมเป็น แต่เนื่องจาก เป็น Root of Unity ทำให้ เสมอ อนุกรมนี้จึงได้ 0 ทั้งหมดนี้เราจึงได้พิสูจน์ว่าเราสามารถใช้อัลกอลิธึ่ม FFT ในการทำ Interpolate สมการกลับมาได้ และทำให้อัลกอลิธึ่มรวมใช้เวลาการทำงานอยู่ใน
แหล่งข้อมูลอื่น
อธิบายเรื่อง Big-O-Notation ของ Wiki Pedia