ผลต่างระหว่างรุ่นของ "204512/บรรยาย 6"
Dejzy (คุย | มีส่วนร่วม) |
Chalet16 (คุย | มีส่วนร่วม) (แก้ข้อความอ่านไม่ออก(ใช้ wget + KHexedit + HTML Decode) ทั้งหมด) |
||
(ไม่แสดง 35 รุ่นระหว่างกลางโดยผู้ใช้ 6 คน) | |||
แถว 1: | แถว 1: | ||
− | + | ertalia | |
− | + | {{หัวคำบรรยาย|204512}} | |
+ | '''จดบันทึกคำบรรยายโดย:'''<br> | ||
+ | ณัฐ เรืองฤทธิ์ 50653773<br> | ||
+ | อมรเดช แจ่มสว่าง 50653963<br> | ||
− | + | ในบทนี้จะพูดถึงปัญหาการหาเส้นทางที่สั้นที่สุด โดยจะเริ่มจากนิยามและพิสูจน์การมีอยู่ของเส้นทางที่สั้นที่สุดเมื่อไม่มีวงรอบที่เป็นลบ จากนั้นจะอธิบายถึง Single Source Shortest Path | |
− | |||
− | |||
− | |||
+ | ==นิยาม== | ||
+ | เราจะเริ่มต้นด้วยนิยามของเส้นทางสั้นที่สุด | ||
+ | ให้ directed graph ''G = (V,E)'' และฟังก์ชัน <math>length:E \to R</math> | ||
+ | ที่ระบุความยาวบนเส้นเชื่อม กล่าวคือความยาวของเส้นเชื่อม ''(u,v)'' คือ ''length''(''u,v'') | ||
− | + | สำหรับเส้นทาง ''P'' ใด ๆ เราจะนิยามความยาว ''length''(''P'') เป็น | |
− | + | <center><math>length(P)= \sum_{e\in P} length(e)</math></center> | |
− | |||
− | |||
− | ''' | + | ''เส้นทางที่สั้นที่สุด'' (shotest path) จาก ''s'' ไป ''t'' คือเส้นทาง ''P'' ที่เริ่มที่ ''s'' สิ้นสุดที่ ''t'' ที่มีความยาวน้อยที่สุด |
− | |||
− | |||
− | |||
+ | ==วงรอบที่เป็นลบกับเส้นทางที่สั้นที่สุด== | ||
+ | ปัญหาแรกที่เราสนใจก็คือ: '''เส้นทางที่สั้นที่สุดจะมีในทุก ๆ กราฟหรือไม่?''' | ||
− | + | พิจารณากราฟต่อไปนี้<br> | |
− | : | + | [[ภาพ:sp01.png]]<br> |
− | : | + | จากรูปจะเห็นได้ว่าถ้ามีการเลือกเส้นทางวนตรงกลางกราฟ จะสามารถวนซ้ำให้ค่าความยาวติดลบเท่าไหร่ก็ได้ |
− | + | ||
− | : | + | เส้นทางดังกล่าวคือ negative length cycle |
− | [[ภาพ:sp02.png]]< | + | |
− | + | {{กล่องนิยาม|;นิยาม : เราจะเรียกวงรอบที่มีความยาวเป็นลบ ว่า '''negative length cycle''' หรือ '''negative cycle'''}} | |
+ | |||
+ | เราจะเรียก path ใด ๆ ว่าเป็น <u>simple path</u> ถ้าไม่มีโหนดใดๆ ประกฎใน path มากกว่า 1 ครั้ง และจะเรียก path ใด ๆ ว่าเป็น | ||
+ | <u>''s''-''t'' path</u> ถ้า path นั้นเริ่มที่ ''s'' และสิ้นสุดที่ ''t'' | ||
+ | |||
+ | ทฤษฎีบทด้านล่างแสดงว่าถ้ากราฟจะมีเส้นทางที่สั้นที่สุด เมื่อและต่อเมื่อ กราฟไม่มีวงรอบที่เป็นลบ | ||
+ | |||
+ | {{กล่องทฤษฎีบท|'''Theorem:''' ถ้าไม่มี negative cycle ''C'' ที่ไปถึงได้จาก ''s'' และบางใหนดใน ''C'' สามารถไปถึง ''t'' ได้, | ||
+ | จะมี shortest path จาก ''s'' ไป ''t''}} | ||
+ | {{เริ่มบทพิสูจน์}} | ||
+ | '''Proof:''' | ||
+ | สังเกตว่าสำหรับ ''s-t'' path ''P'' ใดๆ จะมี simple ''s''-''t'' path ''P''' ที่มีความยาวไม่มากกว่า ''P'' ทั้งนี้เนื่องจากถ้าเส้นทางนั้นมี cycle เราสามารถตัด cycle นั้นออกได้โดยไม่ทำให้ความยาวของเส้นทางที่ได้ยาวขึ้น (ดูรูปด้านล่าง) | ||
+ | <center>[[ภาพ:sp02.png]]</center> | ||
+ | |||
+ | เนื่องจากจำนวน simple ''s-t'' path มีจำกัด (ไม่เกิน n! path) เมื่อ n = จำนวนโหนดในกราฟ ดังนั้นจะมี path ที่มีความยาวสั้นที่สุด | ||
+ | {{จบบทพิสูจน์}} | ||
+ | lirelrol | ||
+ | ==Single Source Shortest Path== | ||
+ | ในปัญหา single source shortest path เราจะได้รับ source ''s'' แล้วหา shortest path จาก ''s'' ไปยังทุกๆ โหนด | ||
− | + | {{กล่องนิยาม| | |
− | + | ;นิยาม : ต้นไม้ ''T'' ที่มี ''s'' เป็น root เป็น '''shortest path tree''' ถ้าทุกๆ path ใน ''T'' เป็น shortest path}} | |
− | |||
− | |||
− | |||
− | ''' | + | ให้ต้นไม้ ''T'', เราให้ ''dist<sub>T</sub>'' แทนความยาวของ path ใน ''T'' จาก ''s'' ไป ''u'' ทฤษฎีบทด้านล่างให้เงื่อนไขที่รับรองว่า ''T'' เป็น shortest path tree |
− | : | + | {{กล่องทฤษฎีบท| |
− | + | '''Theorem:''' | |
− | + | ถ้าสำหรับทุก ๆ เส้นเชื่อม (''u'',''v'') ในกราฟ | |
− | + | <center><math>dist_T(v)\le dist_T(u) + length(u,v)</math></center> | |
+ | แล้ว T จะเป็น shortest path tree | ||
+ | }} | ||
+ | {{เริ่มบทพิสูจน์}} | ||
'''Proof'''<br> | '''Proof'''<br> | ||
+ | [[ภาพ:sp03.png|thumb|right|ถ้า ''T'' เป็น shortest path tree | ||
+ | แล้ว length(u,v) <= 10]] | ||
:พิจารณา s-t path ใดๆ<br> | :พิจารณา s-t path ใดๆ<br> | ||
[[ภาพ:sp04.png]]<br> | [[ภาพ:sp04.png]]<br> | ||
แถว 48: | แถว 69: | ||
:P ต้องมีความยาวไม่น้อยกว่า path on tree ซึ่งเป็น shortest path ทำให้ T จะเป็น shortest path tree<br><br> | :P ต้องมีความยาวไม่น้อยกว่า path on tree ซึ่งเป็น shortest path ทำให้ T จะเป็น shortest path tree<br><br> | ||
:Proof ด้วยวิธี induction บน P<br> | :Proof ด้วยวิธี induction บน P<br> | ||
− | ::ให้ <math>P = <v_0,v_1,...,v_k></math><br> | + | ::ให้ <math>P = <v_0,v_1,...,v_k>\,</math><br> |
− | ::ซึ่ง <math>v_0</math>=s , <math>v_k</math>=t<br> | + | ::ซึ่ง <math>v_0\,</math>=s , <math>v_k\,</math>=t<br> |
− | ::ดังนั้น <math>length(P) = length(v_0,v_1)+length(v_1,v_2)+...+length(v_k-1,v_k)</math><br> | + | ::ดังนั้น <math>length(P) = length(v_0,v_1)+length(v_1,v_2)+...+length(v_k-1,v_k)\,</math><br> |
::จาก <math>dist_T(v)\le dist_T(u) + length(u,v)</math> <br> | ::จาก <math>dist_T(v)\le dist_T(u) + length(u,v)</math> <br> | ||
− | ::<math>length(u,v) \ge dist_T(v) - dist_T(u)</math> <br> | + | ::เราทราบว่า<math>length(u,v) \ge dist_T(v) - dist_T(u)</math> <br> |
::นำมา map กับ P<br> | ::นำมา map กับ P<br> | ||
− | ::จะได้ว่า <math>length(P) \ge (dist_T(v_1)-dist_T(v_0))+(dist_T(v_2)-dist_T(v1))+...+(dist_T(v_k | + | ::จะได้ว่า <math>length(P) \ge (dist_T(v_1)-dist_T(v_0))+(dist_T(v_2)-dist_T(v1))+...+(dist_T(v_k)-dist_T(v_k-1))</math> <br> |
::<math>length(P) \ge dist_T(v_k)-dist_T(v_0)</math><br> | ::<math>length(P) \ge dist_T(v_k)-dist_T(v_0)</math><br> | ||
::<math>length(P) \ge dist_T(t)-0</math><br> | ::<math>length(P) \ge dist_T(t)-0</math><br> | ||
− | ::P | + | ::P มีความยาวไมน้อยกว่า path on tree ถ้าเงื่อนไขนี้เป็นตริง T จะเป็น shortest path tree<br> |
+ | |||
+ | {{จบบทพิสูจน์}} | ||
+ | |||
+ | |||
+ | '''Algorithm''' | ||
+ | :เริ่มต้น | ||
+ | :*<math>distance(u)\leftarrow \infty </math> for all <math>u \in V</math><br> | ||
+ | :*<math>distance(s)\leftarrow 0</math><br> | ||
+ | :*parent(u)= null for all u<br> | ||
+ | :จากนั้นจึงทำ labelling step<br> | ||
+ | ==== Labelling Step ==== | ||
+ | ::เลือก edge(u,v) ที่ <math>distance(v)> distance(u) + length(u,v)\,</math> มา | ||
+ | ::แล้วปรับค่า <math>distance(v)\leftarrow distance(u) + length(u,v)</math> | ||
+ | ::และ <math>p(v)\leftarrow u</math><br> | ||
+ | [[ภาพ:sp05.png]] | ||
+ | ---- | ||
+ | {{กล่องทฤษฎีบท| | ||
+ | '''Lemma''' | ||
+ | :ถ้า <math>distance(u)\ne\infty</math> , จะมี path จาก s ไป u ที่มีความยาว distance(u)<br> | ||
+ | }} | ||
+ | {{เริ่มบทพิสูจน์}} | ||
+ | '''Proof''' | ||
+ | : assume ว่า lemma จริงเมื่อตอนต้นการทำงาน<br> | ||
+ | : Proof by induction บนจำนวนของการทำ labelling step | ||
+ | ::assume ว่า lemma จริงก่อนการทำงานของ step ใดๆ<br> | ||
+ | [[ภาพ:sp06.png]] | ||
+ | ::เนื่องจาก <math>distance(u)\ne\infty</math> มี path p จาก s ไป u ที่มีความยาว distance(u) (by induction step)<br> | ||
+ | ::หลังการทำงานตาม labelling step<br> | ||
+ | ::<math>distance(v)\leftarrow distance(u) + length(u,v)</math><br> | ||
+ | ::ซึ่งเท่ากับความยาวของ <math>p' = p \cup \{u,v\}</math> | ||
+ | {{จบบทพิสูจน์}} | ||
+ | ---- | ||
+ | {{กล่องทฤษฎีบท| | ||
+ | '''Lemma''' | ||
+ | :ถ้า labelling step terminate ,parent p จะ form ตัวเป็น shortest path tree T | ||
+ | :และสำหรับ u ที่ <math>distance(u)\ne\infty</math> , distance(u)จะเท่ากับความยาวของ path ใน T จาก s ไป u | ||
+ | }} | ||
+ | '''กำหนดให้''' | ||
+ | *<math>p^k(u) = p(p^{k-1}(u))\,</math> | ||
+ | *<math>p^1(u) = p(u)\,</math> | ||
+ | {{เริ่มบทพิสูจน์}} | ||
+ | '''Proof'''<br> | ||
+ | '''(I)''' | ||
+ | :ถ้า G มี negative cycle ที่ไปถึงได้จาก s, labelling step จะไม่หยุดการทำงาน<br><br> | ||
+ | :ไม่ว่า distance fucntion บนโหนดจะเป็น อย่างไร<br> | ||
+ | :จะมีบาง edge ที่ทำ labelling step ได้<br> | ||
+ | [[ภาพ:sp08.png]]<br> | ||
+ | :พิจารณา<br> | ||
+ | :<math>distance(v)> distance(u) + length(u,v)\,</math><br> | ||
+ | :แสดงว่าจะมีการทำ labelling step เมื่อ <math>distance(u) + length(u,v) - distance(v) < 0\,</math><br> | ||
+ | :จากรูป มีโหนดจำนวน k โหนด เขียนออกมาได้ว่า<br><br> | ||
+ | :<math>distance(v_1) + length(v_1,v_2) - distance(v_2)\,</math><br> | ||
+ | :<math>distance(v_2) + length(v_2,v_3) - distance(v_3)\,</math><br> | ||
+ | ::::::::<math>\vdots</math><br> | ||
+ | :<math>distance(v_k) + length(v_k,v_1) - distance(v_1)\,</math><br><br> | ||
+ | :ซึ่งจะสามารถทำ labelling step ได้ถ้าบางแถวยังมีค่าน้อยกว่า 0<br> | ||
+ | :เมื่อลองจับทุกแถวบวกกัน<br> | ||
+ | :[[ภาพ:sp09.png]]<br><br> | ||
+ | :จะพบว่าเหลือแต่ค่า length รวมกันซึ่งก็คือ ความยาวของ path ใน cycle<br> | ||
+ | :ซึ่งถ้าเป็น negative cycle แสดงว่าต้องมีตัวใดตัวหนึ่งมีค่าติดลบ | ||
+ | :ทำให้สามารถทำ labelling step ได้เสมอ<br> | ||
+ | '''(II)''' | ||
+ | :ไม่มี v ที่ <math>p^k(v)=v\,</math> สำหรับบางค่าของ k<br> | ||
+ | [[ภาพ:sp07.png]]<br> | ||
+ | :แต่เราปรับค่า d(u) นั่นคือ | ||
+ | :<math>d(u) > d(u) + \sum_{i=1}^{k-1} length(e_i)</math><br> | ||
+ | :<math>d(u) > d(u) + length(c)\,</math><br> | ||
+ | :นั่นคือ <math>length(c) < 0\,</math><br><br> | ||
+ | : *จากเบอร์ 1 กราฟไม่มี negative cycle<br> | ||
+ | '''(III)''' | ||
+ | :ถ้ามี path จาก s ไป v<br> | ||
+ | :<math>dist(v)\ne \infty</math> และ <math>p(v)\ne null</math> | ||
+ | :เพราะถ้ามี path ถึง v แสดงว่าต้องมีการ update มาถึง v เลยทำให้ <math>dist(v)\ne \infty</math> และ <math>p(v)\ne null</math> ด้วย<br><br> | ||
+ | จาก '''(I),(II),(III)''' จะสามารถ proof ได้กว่า <br> | ||
+ | # parent จะ form ตัวกันเป็น tree T | ||
+ | # ทุกๆ edge ที่สอดคล้องกับ (I) ทำให้ T เป็น shortest path tree<br><br> | ||
+ | {{จบบทพิสูจน์}} | ||
+ | |||
+ | == Labelling & Scanning Method == | ||
+ | แต่ละโหนดจะมีสถานะได้ดังนี้ | ||
+ | :* Unlabelled | ||
+ | :* Labelled | ||
+ | :* Scanned | ||
+ | [[ภาพ:Sp10.png|center]]<br> | ||
+ | :เริ่มต้นโหนดทุกโหนดยกเว้น s จะมีสถานะเป็น Unlabelled และ s มีสถานะเป็น Labelled<br> | ||
+ | :และทุกครั้งที่ distance(u) เปลี่ยน u จะมีสถานะเป็น Labelled<br><br> | ||
+ | <b><u>Pre-Condition</u></b> u มีสถานะเป็น Labelled<br><br> | ||
+ | :::SCAN(u): | ||
+ | ::::<math>foreach (u,v) \in E</math><br> | ||
+ | :::::if distance(v) > distance(u) + length(u,v)<br> | ||
+ | :::::<math>if distance(v) \leftarrow distance(u) + length(u,v)</math><br> | ||
+ | :::::เปลี่ยนสถานะของ v เป็น Labelled<br><br><br> | ||
+ | [[ภาพ:Sp11.png|center]]<br><br> | ||
+ | <center><small>แสดงขั้นตอนการทำ Labelling & Spanning Method</small></center><br><br> | ||
+ | :<b><u>Claim :</u></b> ถ้าทำตามวิธี Labelling & Scanning Method แล้วไม่แหลือโหนดที่มีสถานะเป็น Labelled เลย เราจะไม่สามารถทำ Labelling Step ได้อีก | ||
+ | ---- | ||
+ | |||
+ | == Efficient Scanning Order == | ||
+ | ;<b>(I) กราฟที่ไม่มี cycle [Directed Acyclic Graph - DAG]</b> :คือกราฟที่ไม่มีการเรียงแบบ Topological ของโหนด | ||
+ | [[ภาพ:Sp12.png|center]]<br> | ||
+ | :Running time จาก Algorithm นี้คือ O(m+n) | ||
+ | :<b><u>***Topological ของโหนด</u></b> คือ การเรียงของโหนดที่รับประกันได้ว่าไม่มี edge จากโหนดด้านหลังชี้มายังโหนดด้านหน้า<br><br> | ||
+ | ;<b>(II) กราฟไม่มี edge ที่ความยาวเป็นลบ [Dijkstra's Algorithm]</b><br><br> <br><br> | ||
+ | :ในบรรดาโหนดที่มีสถานะเป็น Labelled ให้ Scan โหนด w ที่ distance(w) น้อยที่สุด <u>โดยจะไม่ Scan ซ้ำ</u><br> | ||
+ | :จะใช้ Priority Queue : เข้ามาช่วยในการทำ Algorithm โดยที่<br><br><br> | ||
+ | <center> | ||
+ | {|border="1" width ="600" | ||
+ | | Enqueue(k,v) || เพิ่ม (k,v) ลงใน Set | ||
+ | |- | ||
+ | | FindMin || <math>Return(k,v) \in S</math> ที่มีค่า k น้อยที่สุด | ||
+ | |- | ||
+ | | ExtractMin || <math>Return(k,v) \in S</math> ที่มีค่า k น้อยที่สุดและลบ (k,v) ออกจาก S | ||
+ | |- | ||
+ | | Update((k,v),k') || Update k ด้วย k' | ||
+ | |}</center><br><br> | ||
+ | :<u><i>Dijkstra's Algorithm</i></u><br><br> | ||
+ | ::::<math>S \leftarrow \emptyset</math><br> | ||
+ | ::::<math>Forall\ v,\ distance(v) \leftarrow \infty</math><br> | ||
+ | :::::<math>distance(s) \leftarrow 0,\ Q.enqueue(0,s)</math><br> | ||
+ | ::::<math>While(Q\ is\ not\ empty)</math><br> | ||
+ | :::::<math>u \leftarrow Q.ExtractMin</math><br> | ||
+ | ::::<math>Foreach\ (u,v) \in E</math><br> | ||
+ | :::::<math>if\ distance(v)\ >\ distance(u)\ +\ length(u,v)</math><br> | ||
+ | ::::::<math>distance(v) \leftarrow distance(u)\ +\ length(u,v)</math><br> | ||
+ | ::::::<math>Update((distance(v),v'))</math><br> | ||
+ | :::::<math>S \leftarrow S \cup \{u\}</math><br><br><br> | ||
+ | :Running Time จะแบ่งเป็น 2 ช่วงได้แก่ช่วงของการ ExtractMin (O(n)) และช่วงของการ UpdateQueue (O(m)) ซึ่งจะแตกต่างกันไป | ||
+ | :ตามการจัดวางของ Graph แบบต่างๆ โดยสามารถเทียบเป็นตารางได้ดังนี้<br><br><br> | ||
+ | <center> | ||
+ | {|border="1" width="600" | ||
+ | | || ExtractMin || UpdateQueue || Total | ||
+ | |- | ||
+ | | Array ของโหนด<br>(Dijkstra)|| O(n) || O(1) || O(n^2) | ||
+ | |- | ||
+ | | Binary Heap || O(logn) || O(logn) || O((m+n)logn) | ||
+ | |- | ||
+ | | Fibonacci Heap || O(logn) || decrease key<br>O(1)<br>amortized || O(nlogn+m) | ||
+ | |}</center> | ||
+ | <center><small>ตารางแสดง Running Time เทียบกับ form ของ graph แบบต่างๆ</small></center><br><br> | ||
+ | ;<b>(III) กราฟทั่วไป [Bellman - Ford - Moore]</b> : เป็นการ Scan ทุกๆ โหนดเป็นจำนวน n-1 รอบ เพราะฉะนั้น Running Time จะเป็น O(nm) |
รุ่นแก้ไขปัจจุบันเมื่อ 13:33, 18 มีนาคม 2551
ertalia
บันทึกคำบรรยายวิชา 204512 นี้ เป็นบันทึกที่นิสิตเขียนขึ้น เนื้อหาโดยมากยังไม่ผ่านการตรวจสอบอย่างละเอียด การนำไปใช้ควรระมัดระวัง
จดบันทึกคำบรรยายโดย:
ณัฐ เรืองฤทธิ์ 50653773
อมรเดช แจ่มสว่าง 50653963
ในบทนี้จะพูดถึงปัญหาการหาเส้นทางที่สั้นที่สุด โดยจะเริ่มจากนิยามและพิสูจน์การมีอยู่ของเส้นทางที่สั้นที่สุดเมื่อไม่มีวงรอบที่เป็นลบ จากนั้นจะอธิบายถึง Single Source Shortest Path
เนื้อหา
นิยาม
เราจะเริ่มต้นด้วยนิยามของเส้นทางสั้นที่สุด
ให้ directed graph G = (V,E) และฟังก์ชัน ที่ระบุความยาวบนเส้นเชื่อม กล่าวคือความยาวของเส้นเชื่อม (u,v) คือ length(u,v)
สำหรับเส้นทาง P ใด ๆ เราจะนิยามความยาว length(P) เป็น
เส้นทางที่สั้นที่สุด (shotest path) จาก s ไป t คือเส้นทาง P ที่เริ่มที่ s สิ้นสุดที่ t ที่มีความยาวน้อยที่สุด
วงรอบที่เป็นลบกับเส้นทางที่สั้นที่สุด
ปัญหาแรกที่เราสนใจก็คือ: เส้นทางที่สั้นที่สุดจะมีในทุก ๆ กราฟหรือไม่?
พิจารณากราฟต่อไปนี้
จากรูปจะเห็นได้ว่าถ้ามีการเลือกเส้นทางวนตรงกลางกราฟ จะสามารถวนซ้ำให้ค่าความยาวติดลบเท่าไหร่ก็ได้
เส้นทางดังกล่าวคือ negative length cycle
- นิยาม
- เราจะเรียกวงรอบที่มีความยาวเป็นลบ ว่า negative length cycle หรือ negative cycle
เราจะเรียก path ใด ๆ ว่าเป็น simple path ถ้าไม่มีโหนดใดๆ ประกฎใน path มากกว่า 1 ครั้ง และจะเรียก path ใด ๆ ว่าเป็น s-t path ถ้า path นั้นเริ่มที่ s และสิ้นสุดที่ t
ทฤษฎีบทด้านล่างแสดงว่าถ้ากราฟจะมีเส้นทางที่สั้นที่สุด เมื่อและต่อเมื่อ กราฟไม่มีวงรอบที่เป็นลบ
Theorem: ถ้าไม่มี negative cycle C ที่ไปถึงได้จาก s และบางใหนดใน C สามารถไปถึง t ได้, จะมี shortest path จาก s ไป t
Proof: สังเกตว่าสำหรับ s-t path P ใดๆ จะมี simple s-t path P' ที่มีความยาวไม่มากกว่า P ทั้งนี้เนื่องจากถ้าเส้นทางนั้นมี cycle เราสามารถตัด cycle นั้นออกได้โดยไม่ทำให้ความยาวของเส้นทางที่ได้ยาวขึ้น (ดูรูปด้านล่าง)
เนื่องจากจำนวน simple s-t path มีจำกัด (ไม่เกิน n! path) เมื่อ n = จำนวนโหนดในกราฟ ดังนั้นจะมี path ที่มีความยาวสั้นที่สุด
lirelrol
Single Source Shortest Path
ในปัญหา single source shortest path เราจะได้รับ source s แล้วหา shortest path จาก s ไปยังทุกๆ โหนด
- นิยาม
- ต้นไม้ T ที่มี s เป็น root เป็น shortest path tree ถ้าทุกๆ path ใน T เป็น shortest path
ให้ต้นไม้ T, เราให้ distT แทนความยาวของ path ใน T จาก s ไป u ทฤษฎีบทด้านล่างให้เงื่อนไขที่รับรองว่า T เป็น shortest path tree
Theorem: ถ้าสำหรับทุก ๆ เส้นเชื่อม (u,v) ในกราฟ
แล้ว T จะเป็น shortest path tree
Proof
- พิจารณา s-t path ใดๆ
- P ยาว length(p)
- path on tree ยาว dist T(t)
- P ต้องมีความยาวไม่น้อยกว่า path on tree ซึ่งเป็น shortest path ทำให้ T จะเป็น shortest path tree
- Proof ด้วยวิธี induction บน P
- ให้
- ซึ่ง =s , =t
- ดังนั้น
- จาก
- เราทราบว่า
- นำมา map กับ P
- จะได้ว่า
- P มีความยาวไมน้อยกว่า path on tree ถ้าเงื่อนไขนี้เป็นตริง T จะเป็น shortest path tree
Algorithm
- เริ่มต้น
- for all
- parent(u)= null for all u
- for all
- จากนั้นจึงทำ labelling step
Labelling Step
- เลือก edge(u,v) ที่ มา
- แล้วปรับค่า
- และ
Lemma
- ถ้า , จะมี path จาก s ไป u ที่มีความยาว distance(u)
Proof
- assume ว่า lemma จริงเมื่อตอนต้นการทำงาน
- Proof by induction บนจำนวนของการทำ labelling step
- assume ว่า lemma จริงก่อนการทำงานของ step ใดๆ
- เนื่องจาก มี path p จาก s ไป u ที่มีความยาว distance(u) (by induction step)
- หลังการทำงานตาม labelling step
- ซึ่งเท่ากับความยาวของ
Lemma
- ถ้า labelling step terminate ,parent p จะ form ตัวเป็น shortest path tree T
- และสำหรับ u ที่ , distance(u)จะเท่ากับความยาวของ path ใน T จาก s ไป u
กำหนดให้
Proof
(I)
- ถ้า G มี negative cycle ที่ไปถึงได้จาก s, labelling step จะไม่หยุดการทำงาน
- ไม่ว่า distance fucntion บนโหนดจะเป็น อย่างไร
- จะมีบาง edge ที่ทำ labelling step ได้
- พิจารณา
- แสดงว่าจะมีการทำ labelling step เมื่อ
- จากรูป มีโหนดจำนวน k โหนด เขียนออกมาได้ว่า
- ซึ่งจะสามารถทำ labelling step ได้ถ้าบางแถวยังมีค่าน้อยกว่า 0
- เมื่อลองจับทุกแถวบวกกัน
- จะพบว่าเหลือแต่ค่า length รวมกันซึ่งก็คือ ความยาวของ path ใน cycle
- ซึ่งถ้าเป็น negative cycle แสดงว่าต้องมีตัวใดตัวหนึ่งมีค่าติดลบ
- ทำให้สามารถทำ labelling step ได้เสมอ
(II)
- ไม่มี v ที่ สำหรับบางค่าของ k
- แต่เราปรับค่า d(u) นั่นคือ
- นั่นคือ
- *จากเบอร์ 1 กราฟไม่มี negative cycle
(III)
- ถ้ามี path จาก s ไป v
- และ
- เพราะถ้ามี path ถึง v แสดงว่าต้องมีการ update มาถึง v เลยทำให้ และ ด้วย
จาก (I),(II),(III) จะสามารถ proof ได้กว่า
- parent จะ form ตัวกันเป็น tree T
- ทุกๆ edge ที่สอดคล้องกับ (I) ทำให้ T เป็น shortest path tree
Labelling & Scanning Method
แต่ละโหนดจะมีสถานะได้ดังนี้
- Unlabelled
- Labelled
- Scanned
- เริ่มต้นโหนดทุกโหนดยกเว้น s จะมีสถานะเป็น Unlabelled และ s มีสถานะเป็น Labelled
- และทุกครั้งที่ distance(u) เปลี่ยน u จะมีสถานะเป็น Labelled
Pre-Condition u มีสถานะเป็น Labelled
- SCAN(u):
- if distance(v) > distance(u) + length(u,v)
- เปลี่ยนสถานะของ v เป็น Labelled
- if distance(v) > distance(u) + length(u,v)
- SCAN(u):
- Claim : ถ้าทำตามวิธี Labelling & Scanning Method แล้วไม่แหลือโหนดที่มีสถานะเป็น Labelled เลย เราจะไม่สามารถทำ Labelling Step ได้อีก
Efficient Scanning Order
- (I) กราฟที่ไม่มี cycle [Directed Acyclic Graph - DAG]
- คือกราฟที่ไม่มีการเรียงแบบ Topological ของโหนด
- Running time จาก Algorithm นี้คือ O(m+n)
- ***Topological ของโหนด คือ การเรียงของโหนดที่รับประกันได้ว่าไม่มี edge จากโหนดด้านหลังชี้มายังโหนดด้านหน้า
- (II) กราฟไม่มี edge ที่ความยาวเป็นลบ [Dijkstra's Algorithm]
- ในบรรดาโหนดที่มีสถานะเป็น Labelled ให้ Scan โหนด w ที่ distance(w) น้อยที่สุด โดยจะไม่ Scan ซ้ำ
- จะใช้ Priority Queue : เข้ามาช่วยในการทำ Algorithm โดยที่
Enqueue(k,v) | เพิ่ม (k,v) ลงใน Set |
FindMin | ที่มีค่า k น้อยที่สุด |
ExtractMin | ที่มีค่า k น้อยที่สุดและลบ (k,v) ออกจาก S |
Update((k,v),k') | Update k ด้วย k' |
- Dijkstra's Algorithm
- Running Time จะแบ่งเป็น 2 ช่วงได้แก่ช่วงของการ ExtractMin (O(n)) และช่วงของการ UpdateQueue (O(m)) ซึ่งจะแตกต่างกันไป
- ตามการจัดวางของ Graph แบบต่างๆ โดยสามารถเทียบเป็นตารางได้ดังนี้
ExtractMin | UpdateQueue | Total | |
Array ของโหนด (Dijkstra) |
O(n) | O(1) | O(n^2) |
Binary Heap | O(logn) | O(logn) | O((m+n)logn) |
Fibonacci Heap | O(logn) | decrease key O(1) amortized |
O(nlogn+m) |
- (III) กราฟทั่วไป [Bellman - Ford - Moore]
- เป็นการ Scan ทุกๆ โหนดเป็นจำนวน n-1 รอบ เพราะฉะนั้น Running Time จะเป็น O(nm)