ผลต่างระหว่างรุ่นของ "418531 ภาคต้น 2552/โจทยปัญหาการค้นหาด้วยพละกำลังเยี่ยงควายถึก/เฉลยข้อ 5"
Aoy (คุย | มีส่วนร่วม) |
Aoy (คุย | มีส่วนร่วม) |
||
แถว 9: | แถว 9: | ||
ABS(x,y) // เป็น subroutine ที่ใช้ในการหาผลต่างระหว่างเลขสองตัว | ABS(x,y) // เป็น subroutine ที่ใช้ในการหาผลต่างระหว่างเลขสองตัว | ||
− | + | :1if (x-y < 0) | |
− | + | ::2 return ((-1).(x-y)) | |
− | 3 | + | :3 return(x-y) |
CHECK_ARITH(A,i,j) // เป็น subroutine ที่ใช้ในการตรวจสอบว่าลำดับย่อยในช่วง i ถึง j เป็นลำดับเลขคณิตหรือไม่ | CHECK_ARITH(A,i,j) // เป็น subroutine ที่ใช้ในการตรวจสอบว่าลำดับย่อยในช่วง i ถึง j เป็นลำดับเลขคณิตหรือไม่ | ||
− | 1 | + | :1 k = ABS(A[i],A[i+1]) // กำหนดค่า k เป็นผลต่างระหว่างเลขตัวแรกกับตัวที่สองในลำดับย่อย |
− | 2 | + | :2 for k=i+1 to k<j |
− | + | ::3 if(ABS(A[k],A[k+1] != k)) // ถ้ามีตัวเลขของตัวในลำดับย่อยมีผลต่างไม่เท่ากับ k ก็บอกว่าลำดับย่อยในช่วง i ถึง j นี้ไม่เป็นลำดับเลขคณิต | |
− | + | :::4 retrun (0) | |
− | + | ::5 return(1) | |
LONGESTINTERVAL(A,n,maxi,maxj) | LONGESTINTERVAL(A,n,maxi,maxj) |
รุ่นแก้ไขเมื่อ 09:14, 18 สิงหาคม 2552
ข้อย่อย 1
อินพุต: ลำดับของจำนวนเต็มที่มีความยาว
เอาพุต: ลำดับย่อยของลำดับที่เป็นอินพุตที่มีความยาวมากที่สุด และเป็นลำดับเลขคณิต
แนวคิด ข้อนี้วัตถุที่เราต้องการหาคือลำดับย่อย ตำแหน่งเริ่มต้น และตำแหน่งสุดท้าย ในลำดับที่ให้มา โดยที่ หรือคือช่วงที่เราเรียนกันไปแล้วในห้องเรียนนั่นเอง และเงื่อนไข คือต้องเป็นลำดับเลขคณิต(ที่มีความยาวมากที่สุด) ดังนั้นสิ่งที่อัลกอริทึมของเราต้องทำ คือหยิบช่วงแต่ละช่วง (ลำดับย่อยแต่ละลำดับ) มาดู แล้วดูว่ามันเป็นลำดับเลขคณิตหรือไม่ ถ้าใช่ก็ตรวจสอบอีกว่า มันเป็นลำดับเลขคณิตที่เราเคยรู้จักและยาวกว่าหรือไม่ ถ้ายาวกว่าก็เปลี่ยนมาจำลำดับย่อยใหม่นี้
จากแนวคิดข้างต้น เขียนเป็น pseudocode ได้ดังนี้
ABS(x,y) // เป็น subroutine ที่ใช้ในการหาผลต่างระหว่างเลขสองตัว
- 1if (x-y < 0)
- 2 return ((-1).(x-y))
- 3 return(x-y)
CHECK_ARITH(A,i,j) // เป็น subroutine ที่ใช้ในการตรวจสอบว่าลำดับย่อยในช่วง i ถึง j เป็นลำดับเลขคณิตหรือไม่
- 1 k = ABS(A[i],A[i+1]) // กำหนดค่า k เป็นผลต่างระหว่างเลขตัวแรกกับตัวที่สองในลำดับย่อย
- 2 for k=i+1 to k<j
- 3 if(ABS(A[k],A[k+1] != k)) // ถ้ามีตัวเลขของตัวในลำดับย่อยมีผลต่างไม่เท่ากับ k ก็บอกว่าลำดับย่อยในช่วง i ถึง j นี้ไม่เป็นลำดับเลขคณิต
- 4 retrun (0)
- 5 return(1)
- 3 if(ABS(A[k],A[k+1] != k)) // ถ้ามีตัวเลขของตัวในลำดับย่อยมีผลต่างไม่เท่ากับ k ก็บอกว่าลำดับย่อยในช่วง i ถึง j นี้ไม่เป็นลำดับเลขคณิต
LONGESTINTERVAL(A,n,maxi,maxj) 1:max = -10000000 2:for i=o to i=n 3:: for j=i to j = n 4::: flag=CHECK_ARITH(A,i,j) // ตรวจสอบว่าลำดับย่อยที่กำลังพิจารณาเป็นลำดับเลขคณิตหรือไม่ 5::: if (flag) // ถ้าเป็นลำดับเลขคณิต 6:::: if ((j-i+1)> max) // ตรวจสอบดูว่าความยาวของลำดับเลขคณิตนี้ยาวกว่าลำดับเลขคณิตก่อนหน้าที่เคยเจอหรือไม่ 7:::: maxi = i // ถ้าใช่ก็เปลี่ยนไปจำลำดับเลขคณิตที่ยาวกว่าลำดับก่อนหน้านี้ 8:::: maxj = j
ข้อย่อย 2
โจทย์ต้องการให้อัลกอริทึมทำงานได้ในเวลา นั่นคือ พออ่านอินพุตเสร็จแล้วต้องทำการตรวจสอบได้ด้วยว่าเป็นลำดับเลขคณิตหรือไม่ พร้อมทั้งต้องหาช่วง(ลำดับย่อย)ที่เป็นลำดับเลขคณิตที่ยาวที่สุดได้ด้วย ซึ่งการทำงานดังกล่าวจะทำได้ เมื่อเราทำการคำนวณผลต่างระหว่างสมาชิกในลำดับไปพร้อม ๆ กับการหยิบสมาชิกแต่ละตัวมาดูนั่นเอง นั่นคือ เมื่อเราพิจารณาสมาชิกตัวที่หนึ่ง เราก็หาผลต่างของมันกับสมาชิกตัวที่สอง เมื่อพิจารณาสมาชิกตัวที่สอง เราก็หาผลต่างของมันกับสมาชิกตัวที่สาม ทำแบบนี้ไปเรื่อย ๆ เมื่อพิจารณาครบทุกตัว ตอนนี้เราก็จะมีผลต่างระหว่างสมาชิกทุกตัวในลำดับอินพุตแล้ว จากนั้นวิธีการตรวจสอบว่าเป็นลำดับเลขคณิตที่ยาวที่สุดหรือไม่ก็ทำได้โดยดูว่าค่าผลต่างพวกนี้เปลี่ยนหรือไม่ ถ้ายังไม่เปลี่ยนก็นับว่าเป็นลำดับเลขคณิตไปเรื่อย ๆ แต่ถ้าเปลี่ยนก็แสดงว่าไม่เป็นลำดับเลขคณิตแล้ว ตัวแปรที่ใช้ในการจำว่าตำแหน่งเริ่มของลำดับย่อยก็ต้องเปลี่ยนไป แล้วเริ่มนับความยาวใหม่นั่นเอง
จากแนวคิดข้างต้นสามารถ เขียนเป็น pseudocode ได้ดังนี้
GENERATE(A,D,n,maxi,maxj)
- l = 0, count = o
- for k=o to k<n // ทำการหาค่าผลต่างของสมาชิกในลำดับย่อยเก็บไว้ในอะเรย์ D
- D[l] = ABS(A[k],A[k+1])
- l <-- l + 1
- for k=o to k<n
- if (D[k] = D[k+1]) // ถ้าผลต่างของ A[k] กับ A[k+1] เท่ากับผลต่างของ A[k+1] กับ A[k+2]
- count = count + 1
- maxi = k
- maxj = k+2
- count = 0
- if (D[k] = D[k+1]) // ถ้าผลต่างของ A[k] กับ A[k+1] เท่ากับผลต่างของ A[k+1] กับ A[k+2]