ผลต่างระหว่างรุ่นของ "204111:lab6"
Jittat (คุย | มีส่วนร่วม) |
Jittat (คุย | มีส่วนร่วม) |
||
(ไม่แสดง 11 รุ่นระหว่างกลางโดยผู้ใช้คนเดียวกัน) | |||
แถว 161: | แถว 161: | ||
('''หมายเหตุถึง TA:''' ให้เว้นช่องใหญ่ ๆ สำหรับใส่ฟังก์ชันต่าง ๆ ข้อนี้จะตรวจยากสักหน่อย ขั้นแรกให้ TA กำหนดค่าขอบเขต a และ b หลาย ๆ ค่า สำหรับทดสอบมาก่อน ไม่ควรเป็นค่าที่เยอะ เพราะว่าค่ามันจะเพี้ยนมาก น่าจะอยู่ในขอบเขต 0 - 100 ก็เพียงพอ จากนั้นให้ทดลองโปรแกรม เพื่อประมาณคำตอบที่ถูกต้อง ลองรันหลาย ๆ ทีจนได้ขอบเขตคร่าว ๆ ในการตรวจเราจะตรวจว่าโปรแกรมของนิสิตให้ผลลัพธ์อยู่ในขอบเขตนี้หรือไม่ (ให้แถมขอบเขตให้กว้างหน่อยก็ได้) จากนั้นให้เขียนโปรแกรมหลักที่รับค่า a, b, และขอบเขตบน solup ขอบเขตล่าง sollow แล้วให้โปรแกรมเรียกใช้ฟังก์ชัน area แล้วตรวจสอบว่าคำตอบอยู่ในขอบเขต solup - sollow หรือไม่ ถ้าอยู่ให้พิมพ์ข้อความอะไรออกมาสักอย่าง ถ้าไม่อยู่พิมพ์อีกข้อความหนึ่ง จะได้ตรวจได้) | ('''หมายเหตุถึง TA:''' ให้เว้นช่องใหญ่ ๆ สำหรับใส่ฟังก์ชันต่าง ๆ ข้อนี้จะตรวจยากสักหน่อย ขั้นแรกให้ TA กำหนดค่าขอบเขต a และ b หลาย ๆ ค่า สำหรับทดสอบมาก่อน ไม่ควรเป็นค่าที่เยอะ เพราะว่าค่ามันจะเพี้ยนมาก น่าจะอยู่ในขอบเขต 0 - 100 ก็เพียงพอ จากนั้นให้ทดลองโปรแกรม เพื่อประมาณคำตอบที่ถูกต้อง ลองรันหลาย ๆ ทีจนได้ขอบเขตคร่าว ๆ ในการตรวจเราจะตรวจว่าโปรแกรมของนิสิตให้ผลลัพธ์อยู่ในขอบเขตนี้หรือไม่ (ให้แถมขอบเขตให้กว้างหน่อยก็ได้) จากนั้นให้เขียนโปรแกรมหลักที่รับค่า a, b, และขอบเขตบน solup ขอบเขตล่าง sollow แล้วให้โปรแกรมเรียกใช้ฟังก์ชัน area แล้วตรวจสอบว่าคำตอบอยู่ในขอบเขต solup - sollow หรือไม่ ถ้าอยู่ให้พิมพ์ข้อความอะไรออกมาสักอย่าง ถ้าไม่อยู่พิมพ์อีกข้อความหนึ่ง จะได้ตรวจได้) | ||
− | |||
− | |||
== ทบทวนกลาง == | == ทบทวนกลาง == | ||
แถว 182: | แถว 180: | ||
D: 2 | D: 2 | ||
3 day(s). | 3 day(s). | ||
+ | |||
+ | === ฮิสโตแกรม (ง่าย) === | ||
+ | |||
+ | ให้เขียนโปรแกรมรับจำนวนเต็มระหว่าง 0 ถึง 9 จากนั้นแสดงแผนภาพฮิสโตแกรมที่แสดงความถี่ของข้อมูลแต่ละตัวที่ได้รับมา | ||
+ | |||
+ | โปรแกรมจะรับข้อมูลจากผู้ใช้จนกระทั่งผู้ใช้ป้อนข้อมูลที่'''น้อยกว่า''' 0 | ||
+ | |||
+ | ในการแสดงฮิสโตแกรมให้แสดงความถี่ด้วยเครื่องหมาย <tt>*</tt> | ||
+ | |||
+ | ตัวอย่างการทำงาน | ||
+ | |||
+ | 0 | ||
+ | 1 | ||
+ | 9 | ||
+ | 1 | ||
+ | 3 | ||
+ | 9 | ||
+ | 1 | ||
+ | -100 | ||
+ | 0 : * | ||
+ | 1 : *** | ||
+ | 2 : | ||
+ | 3 : * | ||
+ | 4 : | ||
+ | 5 : | ||
+ | 6 : | ||
+ | 7 : | ||
+ | 8 : | ||
+ | 9 : ** | ||
+ | |||
+ | หมายเหตุ: สามารถใช้ตัวดำเนินการ * กับสตริงเพื่อให้เป็นสตริงที่ซ้ำ ๆ กันได้ เช่น "*" * 10 มีค่าเป็น "**********" | ||
+ | |||
+ | === ฮิสโตแกรม (ยากขึ้น) === | ||
+ | |||
+ | ให้เขียนโปรแกรมรับจำนวนเต็มระหว่าง 0 ถึง 99 จากนั้นแสดงแผนภาพฮิสโตแกรมที่แสดงความถี่ของข้อมูล อย่างไรก็ตาม ในการแสดงให้แสดงเป็นกลุ่ม กลุ่มแรกมีค่าตั้งแต่ 0 - 9 กลุ่มที่สองมีค่าตั้งแต่ 10 - 19 จนถึงกลุ่มสุดท้ายเป็น 90 - 99 ตามลำดับ ในการแสดงไม่ต้องพิมพ์หมายเลขกลุ่ม | ||
+ | |||
+ | โปรแกรมจะรับข้อมูลจากผู้ใช้จนกระทั่งผู้ใช้ป้อนข้อมูลที่'''น้อยกว่า''' 0 | ||
+ | |||
+ | ในการแสดงฮิสโตแกรมให้แสดงความถี่ด้วยเครื่องหมาย <tt>*</tt> | ||
+ | |||
+ | ตัวอย่างการทำงาน | ||
+ | |||
+ | 9 | ||
+ | 10 | ||
+ | 95 | ||
+ | 15 | ||
+ | 32 | ||
+ | 91 | ||
+ | 12 | ||
+ | -100 | ||
+ | : * | ||
+ | : *** | ||
+ | : | ||
+ | : * | ||
+ | : | ||
+ | : | ||
+ | : | ||
+ | : | ||
+ | : | ||
+ | : ** | ||
+ | |||
+ | หมายเหตุ: สามารถใช้ตัวดำเนินการ * กับสตริงเพื่อให้เป็นสตริงที่ซ้ำ ๆ กันได้ เช่น "*" * 10 มีค่าเป็น "**********" | ||
+ | |||
+ | === พิมพ์เลขทีละหลัก === | ||
+ | เขียนโปรแกรมรับจำนวนเต็ม จากนั้นพิมพ์จำนวนเต็มดังกล่าวออกมาทีละหลัก หลักละ 1 บรรทัด โดยพิมพ์จากหลักหน่วยก่อน | ||
+ | |||
+ | ตัวอย่างการทำงาน 1 | ||
+ | |||
+ | Enter number: 12437 | ||
+ | 7 | ||
+ | 3 | ||
+ | 4 | ||
+ | 2 | ||
+ | 1 | ||
+ | |||
+ | ตัวอย่างการทำงาน 2 | ||
+ | |||
+ | Enter number: 10000 | ||
+ | 0 | ||
+ | 0 | ||
+ | 0 | ||
+ | 0 | ||
+ | 1 | ||
+ | |||
+ | === แปลงเป็นเลขฐาน 2 === | ||
+ | เขียนโปรแกรมรับจำนวนเต็มบวก 1 จำนวน จากนั้นให้แสดงผลลัพธ์เป็นจำนวนเต็มดังกล่าวที่เขียนอยู่ในรูปของตัวเลขฐานสอง | ||
+ | |||
+ | ตัวอย่างการทำงาน 1 | ||
+ | |||
+ | Enter number: 19 | ||
+ | 10011 | ||
+ | |||
+ | ตัวอย่างการทำงาน 2 | ||
+ | |||
+ | Enter number: 6 | ||
+ | 110 | ||
+ | |||
+ | === แปลงเป็นฐาน 10 === | ||
+ | ให้เขียนรับตัวเลขฐาน 2 จากผู้ใช้ จากนั้นแปลงให้เป็นเลขฐานสิบ | ||
+ | |||
+ | ตัวอย่างการทำงาน 1 | ||
+ | |||
+ | Enter binary number: 10110 | ||
+ | 22 | ||
+ | |||
+ | ตัวอย่างการทำงาน 1 | ||
+ | |||
+ | Enter binary number: 110 | ||
+ | 6 | ||
+ | |||
+ | คำใบ้: อย่าลืมว่าเราสามารถพิจารณาสตริงเป็นรายการของตัวอักษรได้ | ||
+ | |||
+ | == Master mind == | ||
+ | |||
+ | |||
+ | === ตรวจสอบเลขซ้ำ === | ||
+ | ในเกมมาสเตอร์มายด์ เราต้องการสุ่มเลขตั้งต้นที่ไม่มีเลขหลักใดซ้ำกันเลย การสุ่มดังกล่าวทำได้ไม่ยากถ้าเราสามารถตรวจสอบว่าตัวเลข 4 หลักที่เราได้สุ่มมานั้นมีหลักซ้ำกันหรือไม่ | ||
+ | |||
+ | ให้เขียนฟังก์ชัน verify_digits(x) ที่รับจำนวนเต็มบวก x จากนั้นคืนค่าเป็น True ก็ต่อเมื่อเลขในแต่ละหลักของ x เมื่อเขียนเป็นเลขฐานสิบ ไม่มีตัวใดซ้ำกันเลย | ||
+ | |||
+ | ตัวอย่างการทำงานของฟังก์ชัน (ใน Python Shell) | ||
+ | |||
+ | >>> verify_digits(12345) | ||
+ | True | ||
+ | >>> verify_digits(1242) | ||
+ | False | ||
+ | >>> verify_digits(938401) | ||
+ | True | ||
+ | >>> verify_digits(194842) | ||
+ | False | ||
+ | |||
+ | === สุ่มตัวเลข === | ||
+ | ('''หมายเหตุถึง TA''': ข้อนี้จะตรวจยากสักหน่อย เดี๋ยวผมจะทำให้ละกัน) | ||
+ | |||
+ | ในการสุ่มตัวเลข 4 หลักเราจะใช้ฟังก์ชัน <tt>randint</tt> ในโมดูล <tt>random</tt> ฟังก์ชัน randint(a,b) จะคืนค่าเป็นเลขสุ่มที่มีค่าเป็นไปได้ตั้งแต่ a ถึง b (รวม a และ b ด้วย) ดูตัวอย่างการใช้งานที่ http://theory.cpe.ku.ac.th/wiki/index.php/204111:Python_missing_th | ||
+ | |||
+ | ให้เขียนฟังก์ชัน rand_answer() ที่คืนค่าเป็นจำนวนเต็ม 4 หลัก (นั่นคือต้องมีค่าอย่างน้อย 1000 แต่มีค่าไม่เกิน 9999) ที่ไม่มีหลักใด ๆ ที่ซ้ำกันเลย | ||
+ | |||
+ | ตัวอย่างการทำงาน (แสดงใน Python shell) | ||
+ | |||
+ | >>> rand_answer() | ||
+ | 1324 | ||
+ | >>> rand_answer() | ||
+ | 8503 | ||
+ | >>> rand_answer() | ||
+ | 6359 | ||
+ | |||
+ | หมายเหตุ ฟัง์กชันของนิสิตไม่จำเป็นต้องตอบตรงกับตัวอย่าง | ||
== ทบทวนยาก == | == ทบทวนยาก == |
รุ่นแก้ไขปัจจุบันเมื่อ 06:56, 10 กรกฎาคม 2553
ปฏิบัติการที่ 6 ของวิชา 20411 ตามแผนร่างหัวข้อวิชา 204111 ส่วนรวมเนื้อหา
ทบทวนง่าย
ราคาพิเศษ
ร้านขายหนังสือร้านหนึ่ง พยายามเพิ่มยอดขายโดยการเสนอโปรโมชั่นพิเศษ ถ้าคุณซื้อหนังสือมากกว่า 3 เล่ม ที่มีมูลค่ารวมเกิน 500 บาท คุณจะได้ส่วนลด 10%
ให้เขียนโปรแกรมรับจำนวนหนังสือที่ซื้อและราคารวม จากนั้นคำนวณราคาที่ต้องจ่าย
ตัวอย่างการทำงาน 1
How many books: 2 How much: 1000 You have to pay 1000 bath.
ตัวอย่างการทำงาน 2
How many books: 5 How much: 500 You have to pay 500 bath.
ตัวอย่างการทำงาน 3
How many books: 5 How much: 600 You have to pay 540 bath.
พิมพ์เลขที่หารลงตัว
ให้เขียนโปรแกรมรับจำนวนเต็ม N และ K จากนั้นพิมพ์เลขตั้งแต่ 1 ถึง N ที่ K หารลงตัว
ตัวอย่างการทำงาน
Enter N: 10 Enter K: 3 3 6 9
แสดงรายการคูณสอง
เขียนฟังก์ชัน printdouble(s) ที่รับรายการ s ของจำนวนเต็ม จากนั้นให้พิจารณาข้อมูลในรายการทีละตัวตามลำดับ แล้วพิมพ์ค่าข้อมูลแต่ละตัวนั้นคูณด้วย 2
ตัวอย่างการทำงานใน Python shell (ให้นิสิตเขียนฟังก์ชันใน editor ของ Wing IDE จากนั้นกด Run แล้วทดลองเรียกใช้ฟังก์ชันใน Python Shell)
>>> printdouble([1,10,3,7,15]) 2 20 6 14 30
Monte Carlo
ในส่วนนี้เราจะเขียนโปรแกรมเพื่อหาพื้นที่ใต้เส้นโค้ง โดยใช้การประมาณอีกวิธีหนึ่ง
แนวคิดของการประมาณด้วยวิธีการ Monte Carlo คือ เราจะพิจารณาพื้นที่สี่เหลี่ยมที่ครอบคลุมพื้นที่ใต้เส้นโค้งทั้งหมด จากนั้นเราจะสุ่มจุดจำนวนมาก ๆ ลงไปแล้วหาว่าจุดเหล่านั้น จุดใดอยู่ใต้เส้นโค้งบ้าง เพื่อประมาณว่างพื้นที่ใต้เส้นโค้งมีอัตราส่วนเป็นเท่าใดของพื้นที่ทั้งหมด
ยกตัวอย่างดังรูปด้านล่าง
เราสุ่มจุด 7 จุด อยู่ภายใต้เส้นโค้ง 3 จุด ดังนั้นเราจะประมาณว่าพื้นที่ใต้เส้นโค้งเป็น 3/7 = 0.4286 เท่า ของพื้นที่ทั้งหมด ถ้าเราทราบพื้นที่ทั้งหมด เราก็จะประมาณพื้นที่ใต้เส้นโค้งได้
เราจะสนใจฟังก์ชันเดียวกับในการบรรยายคือ และต้องการหาพื้นที่ใต้ฟังก์ชัน f ตั้งแต่ x = a ถึง x = b หรือ
(หมายเหตุถึง TA: ให้ลอกคำบรรยายตอนต้นนี้ไปใส่ที่ต้นโจทย์ย่อยทุกข้อ สามารถลิงก์รูปมาที่รูปด้านบนได้ และสามารถกด [แก้ไข] ที่หน้านี้เพื่อคัดลอกโค้ดส่วนที่เป็นสมการได้)
คำนวณฟังก์ชัน
ให้เขียนฟังก์ชัน func(x) ที่คำนวณค่า
ตัวอย่างการทำงานใน Python Shell
>>> print(func(0)) 0.0 >>> print(func(10)) 106.696700846 >>> print(func(20)) 451.779774682
ตรวจสอบว่าอยู่ใต้เส้นโค้งหรือไม่
เขียนฟังก์ชัน under(x,y) เพื่อตรวจสอบว่า จุด (x,y) อยู่ใต้เส้นของฟังก์ชัน f(x) ที่เขียนด้วยฟังก์ชัน func หรือไม่ ให้ฟังก์ชัน under คือค่าเป็น Boolean
ในการเขียนฟังก์ชันดังกล่าวให้เรียกใช้ฟังก์ชัน func ตามที่ได้เขียนไว้จากข้อที่แล้ว แต่ในการตอบไม่ต้องใส่ฟังก์ชันดังกล่าวลงไป
(หมายเหตุถึง TA: ให้เว้นช่องให้เขียนฟังก์ชัน under(x,y) แต่ให้ใส่ฟังก์ชัน func ให้ได้ แต่ซ่อนไว้ ดังด้านล่าง)
def under(x,y): ______________________________________ ______________________________________ ______________________________________ ______________________________________
ตัวอย่างของโปรแกรมหลักที่เรียกใช้ฟังก์ชันดังกล่าว
x = float(input("Enter X: ")) y = float(input("Enter Y: ")) if under(x,y): print("It is.") else: print("It is not.")
ตัวอย่างการทำงาน 1
Enter X: 0 Enter Y: 0 It is not.
ตัวอย่างการทำงาน 2
Enter X: 10 Enter Y: 100 It is.
ส่วนคำนวณหลัก
เราจะใช้ฟังก์ชัน random จากโมดูล random ที่คืนค่าระหว่าง 0 ถึง 1 ในการสุ่มตัวเลข อ่านรายละเอียดการใช้ฟังก์ชันดังกล่าวได้จาก http://theory.cpe.ku.ac.th/wiki/index.php/204111:Python_missing_th ส่วนการสุ่มตัวเลข
ในการสุ่มเพื่อประมาณพื้นที่ใต้โค้ง เราจะต้องหาขอบเขตในการสุ่มจุดเสียก่อน ในกรณีนี้เราจะสุ่มจุดที่อยู่ในสี่เหลี่ยมดังรูปด้านล่าง
สังเกตว่าพื้นที่รวมของสี่เหลี่ยมนี้คือ
ให้เขียนฟังก์ชัน area(a,b) ที่รับพารามิเตอร์ a และ b เป็นจำนวนจริง จากนั้นคำนวณค่าประมาณของพื้นที่ใต้เส้นโค้ง ที่ x มีค่าจาก x = a ถึง x = b โดยใช้การสุ่มจุดจำนวน 10000 จุด ให้ฟังก์ชัน area คืนค่าพื้นที่นั้นออกมา
หมายเหตุ: ให้ใช้ฟังก์ชัน func และ under ที่เขียนจากข้อที่แล้ว
คำใบ้: การจะสุ่มค่าระหว่าง a ถึง b สามารถทำได้โดยใช้ฟังก์ชัน random ที่สุ่มค่าจาก 0 ถึง 1 แต่ต้องมีการคำนวณเพิ่มเติมเล็กน้อยหลังจากนั้น เราแนะนำให้เขียนฟังก์ชัน randbetween(a,b) ที่สุ่มค่าจำนวนจริงระหว่าง a ถึง b เพื่อใช้ประกอบ
ตัวอย่างของโปรแกรมหลักที่เรียกใช้ฟังก์ชันดังกล่าวเป็นดังด้านล่าง
a = float(input("Enter a: ")) b = float(input("Enter b: ")) result = area(a,b) print("Area = %.3f" % result)
ด้านล่างแสดงตัวอย่างการทำงาน โปรแกรมที่นิสิตเขียนไม่จำเป็นต้องให้ผลลัพธ์ตรงพอดีกับตัวอย่าง แต่ควรมีค่าใกล้เคียง
ตัวอย่างการทำงาน 1
Enter a: 0 Enter b: 10 Area = 353.273
ตัวอย่างการทำงาน 2
Enter a: 10 Enter b: 30 Area = 9945.103
ตัวอย่างการทำงาน 3
Enter a: 1.5 Enter b: 3.5 Area = 13.542
ให้เขียนฟังก์ชันต่าง ๆ ที่ใช้ทั้งหมด ลงในนี้ ไม่ต้องใส่โปรแกรมหลัก (ถ้าใส่โปรแกรมหลักระบบจะตรวจผิดพลาด)
(หมายเหตุถึง TA: ให้เว้นช่องใหญ่ ๆ สำหรับใส่ฟังก์ชันต่าง ๆ ข้อนี้จะตรวจยากสักหน่อย ขั้นแรกให้ TA กำหนดค่าขอบเขต a และ b หลาย ๆ ค่า สำหรับทดสอบมาก่อน ไม่ควรเป็นค่าที่เยอะ เพราะว่าค่ามันจะเพี้ยนมาก น่าจะอยู่ในขอบเขต 0 - 100 ก็เพียงพอ จากนั้นให้ทดลองโปรแกรม เพื่อประมาณคำตอบที่ถูกต้อง ลองรันหลาย ๆ ทีจนได้ขอบเขตคร่าว ๆ ในการตรวจเราจะตรวจว่าโปรแกรมของนิสิตให้ผลลัพธ์อยู่ในขอบเขตนี้หรือไม่ (ให้แถมขอบเขตให้กว้างหน่อยก็ได้) จากนั้นให้เขียนโปรแกรมหลักที่รับค่า a, b, และขอบเขตบน solup ขอบเขตล่าง sollow แล้วให้โปรแกรมเรียกใช้ฟังก์ชัน area แล้วตรวจสอบว่าคำตอบอยู่ในขอบเขต solup - sollow หรือไม่ ถ้าอยู่ให้พิมพ์ข้อความอะไรออกมาสักอย่าง ถ้าไม่อยู่พิมพ์อีกข้อความหนึ่ง จะได้ตรวจได้)
ทบทวนกลาง
หอยทาก
หอยทากตัวหนึ่ง ตกลงไปในบ่อที่มีความสูง H เมตร มันพยายามจะไต่ให้ถึงปากบ่อ ในเวลากลางวันหอยทากไต่ขึ้นไปได้ U เมตร เวลากลางคืนมันนอนหลับจึงไม่ได้ไต่แต่กลับไถลลงมาเป็นระยะทาง D เมตร ให้เขียนโปรแกรมเพื่อหาว่าหอยทากจะใช้เวลากี่วันในการไต่ออกจากบ่อ
ตัวอย่างการทำงาน 1
H: 5 U: 10 D: 1 1 day(s).
ตัวอย่างการทำงาน 2
H: 5 U: 3 D: 2 3 day(s).
ฮิสโตแกรม (ง่าย)
ให้เขียนโปรแกรมรับจำนวนเต็มระหว่าง 0 ถึง 9 จากนั้นแสดงแผนภาพฮิสโตแกรมที่แสดงความถี่ของข้อมูลแต่ละตัวที่ได้รับมา
โปรแกรมจะรับข้อมูลจากผู้ใช้จนกระทั่งผู้ใช้ป้อนข้อมูลที่น้อยกว่า 0
ในการแสดงฮิสโตแกรมให้แสดงความถี่ด้วยเครื่องหมาย *
ตัวอย่างการทำงาน
0 1 9 1 3 9 1 -100 0 : * 1 : *** 2 : 3 : * 4 : 5 : 6 : 7 : 8 : 9 : **
หมายเหตุ: สามารถใช้ตัวดำเนินการ * กับสตริงเพื่อให้เป็นสตริงที่ซ้ำ ๆ กันได้ เช่น "*" * 10 มีค่าเป็น "**********"
ฮิสโตแกรม (ยากขึ้น)
ให้เขียนโปรแกรมรับจำนวนเต็มระหว่าง 0 ถึง 99 จากนั้นแสดงแผนภาพฮิสโตแกรมที่แสดงความถี่ของข้อมูล อย่างไรก็ตาม ในการแสดงให้แสดงเป็นกลุ่ม กลุ่มแรกมีค่าตั้งแต่ 0 - 9 กลุ่มที่สองมีค่าตั้งแต่ 10 - 19 จนถึงกลุ่มสุดท้ายเป็น 90 - 99 ตามลำดับ ในการแสดงไม่ต้องพิมพ์หมายเลขกลุ่ม
โปรแกรมจะรับข้อมูลจากผู้ใช้จนกระทั่งผู้ใช้ป้อนข้อมูลที่น้อยกว่า 0
ในการแสดงฮิสโตแกรมให้แสดงความถี่ด้วยเครื่องหมาย *
ตัวอย่างการทำงาน
9 10 95 15 32 91 12 -100 : * : *** : : * : : : : : : **
หมายเหตุ: สามารถใช้ตัวดำเนินการ * กับสตริงเพื่อให้เป็นสตริงที่ซ้ำ ๆ กันได้ เช่น "*" * 10 มีค่าเป็น "**********"
พิมพ์เลขทีละหลัก
เขียนโปรแกรมรับจำนวนเต็ม จากนั้นพิมพ์จำนวนเต็มดังกล่าวออกมาทีละหลัก หลักละ 1 บรรทัด โดยพิมพ์จากหลักหน่วยก่อน
ตัวอย่างการทำงาน 1
Enter number: 12437 7 3 4 2 1
ตัวอย่างการทำงาน 2
Enter number: 10000 0 0 0 0 1
แปลงเป็นเลขฐาน 2
เขียนโปรแกรมรับจำนวนเต็มบวก 1 จำนวน จากนั้นให้แสดงผลลัพธ์เป็นจำนวนเต็มดังกล่าวที่เขียนอยู่ในรูปของตัวเลขฐานสอง
ตัวอย่างการทำงาน 1
Enter number: 19 10011
ตัวอย่างการทำงาน 2
Enter number: 6 110
แปลงเป็นฐาน 10
ให้เขียนรับตัวเลขฐาน 2 จากผู้ใช้ จากนั้นแปลงให้เป็นเลขฐานสิบ
ตัวอย่างการทำงาน 1
Enter binary number: 10110 22
ตัวอย่างการทำงาน 1
Enter binary number: 110 6
คำใบ้: อย่าลืมว่าเราสามารถพิจารณาสตริงเป็นรายการของตัวอักษรได้
Master mind
ตรวจสอบเลขซ้ำ
ในเกมมาสเตอร์มายด์ เราต้องการสุ่มเลขตั้งต้นที่ไม่มีเลขหลักใดซ้ำกันเลย การสุ่มดังกล่าวทำได้ไม่ยากถ้าเราสามารถตรวจสอบว่าตัวเลข 4 หลักที่เราได้สุ่มมานั้นมีหลักซ้ำกันหรือไม่
ให้เขียนฟังก์ชัน verify_digits(x) ที่รับจำนวนเต็มบวก x จากนั้นคืนค่าเป็น True ก็ต่อเมื่อเลขในแต่ละหลักของ x เมื่อเขียนเป็นเลขฐานสิบ ไม่มีตัวใดซ้ำกันเลย
ตัวอย่างการทำงานของฟังก์ชัน (ใน Python Shell)
>>> verify_digits(12345) True >>> verify_digits(1242) False >>> verify_digits(938401) True >>> verify_digits(194842) False
สุ่มตัวเลข
(หมายเหตุถึง TA: ข้อนี้จะตรวจยากสักหน่อย เดี๋ยวผมจะทำให้ละกัน)
ในการสุ่มตัวเลข 4 หลักเราจะใช้ฟังก์ชัน randint ในโมดูล random ฟังก์ชัน randint(a,b) จะคืนค่าเป็นเลขสุ่มที่มีค่าเป็นไปได้ตั้งแต่ a ถึง b (รวม a และ b ด้วย) ดูตัวอย่างการใช้งานที่ http://theory.cpe.ku.ac.th/wiki/index.php/204111:Python_missing_th
ให้เขียนฟังก์ชัน rand_answer() ที่คืนค่าเป็นจำนวนเต็ม 4 หลัก (นั่นคือต้องมีค่าอย่างน้อย 1000 แต่มีค่าไม่เกิน 9999) ที่ไม่มีหลักใด ๆ ที่ซ้ำกันเลย
ตัวอย่างการทำงาน (แสดงใน Python shell)
>>> rand_answer() 1324 >>> rand_answer() 8503 >>> rand_answer() 6359
หมายเหตุ ฟัง์กชันของนิสิตไม่จำเป็นต้องตอบตรงกับตัวอย่าง